หลังจากที่งาน WWDC2012 เปิดตัว iOS6 ที่น่าจะพัฒนาออกมารับหน้าฉากกับ New iPhone ซึ่งใน Keynote ที่นำเสนอนั้นมีการอธิบาย Feature เด่นๆ เยอะแยะอีกด้วย
อันที่จริง iOS6 ที่ถูกนำเสนอออกมานั้นก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นมากมายให้เราต้อง เต้นโหยงเหยง ว่าของใหม่มาแล้ว มี OS ใหม่อีกแล้วให้ไปหามาอัพเกรดกัน เพราะดูๆ ไปแล้วก็เป็น Feature ใหม่ที่น่าจะต้องเดากันได้แน่นอนอย่าง Feature ในการ Integrate กับเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook เป็นต้น ไอ้ที่น่าสนใจจริงๆ ก็น่าจะเป็นความฉลาดของ Siri และ ระบบแผนที่นำทางตัวใหม่ในแอพพลิเคชัน Maps ที่ดูจะมีภาษีกว่าเพื่อน
ถ้าให้พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว iOS6 น่าจะเป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่ออัพเกรด feature หรือคุณสมบัติที่ขาดๆ เหลือๆ ใน iOS5 ให้ดีขึ้นครับ ที่สำคัญมันน่าเจ็บใจตรงที่ Jailbreak ตัว iOS5 ได้เดี๋ยวเดียวก็ออก iOS6 มาให้นักแฮ็คได้ปาดเหงื่อน้ำลายไหลกันอีกรอบไม่หยุดหย่อน
เอาเป็นว่า มาดูหน้าจอ Screenshot กันหน่อยดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง ภาพหน้าจอน่าสนใจเก็บมาจากเว็บไซต์ต่างประเทศครับ
ดูดีๆ จะเห็นว่าแอพพลิเคชัน Clock บน iPad ครับมีการอัพเดต สภาพภูมิอากาศ ในแต่ละเขตที่ใกล้เคียง TimeZone ของเราครับ ต่างจากที่ iOS5 มีเยอะเลยครับ
อีกตัวที่น่าสนใจคือ เวลาที่เราทำการ Update ตัวแอพพลิเคชันที่เราดาวน์โหลดมาแล้ว จาก App Store ไอคอนของแอพพลิเคชัน จะมีสายคาดที่มุมขวาบนว่า “New” ครับ
รวมถึงหน้า App Store ใหม่ที่ออกแบบมาให้ Smooth ขึ้น และน่าใช้งาน พร้อมทั้งฟังก์ชันในการค้นหานั้นก็ทำได้ดีสุดๆ ครับ
ส่วนเจ้า Siri ที่ทาง Apple ได้นำเสนอใน Keynote งาน WWDC2012 ว่าจะมีความฉลาดมากขึ้นนั้น ก็ดูแล้วจะเป็นการโต้ตอบที่ดีขึ้น และสะดวกขึ้นเหมือนถามตอบผ่าน Line บรรทัดเลยครับ
อันนี้น่าทึ่งครับ กับระบบ Maps ใหม่ของ Apple รองรับการแสดงผล 3 มิติครับ
ฟังก์ชันในการแชร์ จาก iOS6 นั้นได้เปลี่ยน Interface ใหม่เล็กน้อย เมื่อเรากดปุ่ม Share บนหน้าจอแล้ว จะมี Service ที่รองรับการแชร์ปรากฏออกมา ทั้ง Mail, Photo Stream, Twitter, Facebook และอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่ Print ซึ่งน่าจะเป็น Service สำหรับ Cloud Printing ครับ ส่วนฟังก์ชันในการแชร์บน Safari บราวเซอร์ตอนที่เราท่องอินเทอร์เน็ตนั้น จะมีการแชร์ Link ที่เราสนใจไปยัง Mail, Message หรือ iMessage, Twitter, Facebook และอื่นๆ
กลายเป็นว่า iOS6 ก็ดูจะมีอะไรเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่ส่วนตัวแล้วผมว่าเป็นการอัพเกรด บางสิ่งที่ iOS5 ลืมใส่ลงไปมากกว่า ยังไเสียก็ต้องลองอัพเกรดกันอยู่ดี ว่าไหมครับ?