“May the birds be with you” คำล้อประโยคศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าแฟนคลับ Star Wars ได้เฮกันแล้วกับ Angry Birds Star Wars ที่รอบนี้มาพร้อมแผนการตลาดแบบจัดหนักแน่นอนว่าทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Angry Birds ตัวละครนกหน้าเกรียนที่พร้อมจะตีกับหมูหน้าเขียวได้ตลอดเวลา แม้ว่าผู้บริโภคบางกลุ่มจะไม่มีสมาร์ทโฟน และไม่เคยเล่นเกมนี้บนมือถือ แต่เพราะกระแสความฮิตก็นำพาให้ตัวละครจากเกมเกมนี้ ครองใจคนทุกชนชั้น สังเกตุจากเสื้อยืดตามตลาดนัด หรือ สินค้าทำมือที่เอาเจ้านก และหมูพวกนี้ไปใช้เป็นสินค้าทำเงิน
และก็คงจะมีน้อยคนที่จะไม่รู้จักภาพยนตร์ไซไฟ ยิ่งใหญ่ตลอดการณ์อย่าง Star Wars ทีเป็นเรื่องราวของ ฝ่ายจักรวรรดิ์ (Empire) ที่ทำทัพโดย Palpatine ตามด้วย Dark Vaders ที่พร้อมจะนำยานอวกาศ Star Destroyer และ Death Stars เข้าครองจักวาล เดือดร้อนกับเหล่าอัศวิน เจได้ และฝ่ายกบฎ (Rebel) ที่มี Luke Skywalker, กำตันยาน Millenium Falcon ที่บินเร็วที่สุดในจักรวาลอย่าง Han Solo เพื่อหน้าขน Chew Bekka พร้อมหุ่ม R2D2 และ C3PO
ลิขสิทธิ์ของ Star Wars นั้นเป็นของ George Lucas เจ้าของบริษัท Lucas Film Ltd ซึ่งไม่รู้ไปทำอีท่าไหนมาจับมือกับ บริษัทผู้ผลิตเกม Angry Birds อย่าง Rovio Entertainment ไปได้ เมื่อวันที่ 8 November 2012 ที่ผ่านมานี่เองครับ ก็ได้เปิดเผยการ Angry Birds Star Wars ผ่าน Tumblr ของ Rovio พร้อมทั้งเงื่อนไขการเล่นที่เก๋ใช่ย่อยโดนใจชาว Geek อย่างการที่เราสามารถเลือกที่จะเล่นเป็น Rebel (ฝั่งนก) หรือ Empire (ฝั่งหมู) กระแสตอบรับดีไปหมดครับ
ใช้แฟนคลับเดนตายของเราให้เป็นประโยชน์ (Marketing by Persona)
สิ่งที่แรกที่ Rovio และ Lucasfilm ได้รับเต็มๆ คือ พวกเขาไม่ต้องวางแผนการโปรโมตหรือทำ PR อะไรมาก เพียงแค่บอกไปว่า “เฮ้ พวกเราจะสร้างเกม Angry Birds ภาคใหม่ นั่นคือ Star Wars” แค่นั้นแหละครับ Fan Art ที่ชอบออกแบบวาดรูปเกม ตัวละครทั้งของ Angry Birds และ Star Wars ก็ออกมาทำงาน โปรโมตกราฟิก ภาพวาดให้เต็มที่ เป็นการกระจายการประชาสัมพันธ์ที่ไม่ต้องลงทุนอะไร อาศัยแค่การดูแล Engagement คนพวกนี้ให้ดีไว้ก่อนแต่แรกพอ
นั่นก็พอจะเป็นคำใบ้ ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกม และ บันเทิงนะครับว่า ถ้าเรามีเกม หรือภาพยนตร์ที่ดีจริง ถูกใจเหล่าผู้เล่น หรือผู้ชม เหล่า Fan Art เหล่านี้แหละคือช่องทางสร้างกำไรมหาศาล และเป็นเหมือนกระบอกเสียงกระจายแบรนด์ของเกม และภาพยนตร์ของเราได้อย่างได้ผลที่สุด
แผนการต่อไป ของ Rovio และ Lucas ก็คือการสร้าง Awareness ครับ
การดำเนินแผนการขั้นตอนนี้เริ่มไม่ค่อยลำบากอะไรแล้ว เพราะเมื่อก่อนหน้านี้ Star Wars เคยโปรโมตวีดีโอเกมของตัวเองอย่างจริง จังใน Times Square กับแคมเปญ Choose Your Side (อ่านได้จากบทความ “แคมเปญ Choose Your Side จากเกม Star War The Old Republic“) รอบนี้ก้ยังคงเป็นที่เดิมแต่เปลี่ยนเป็นป้ายโปสเตอร์ที่มีลิขสิทธิ์ของ Toy ‘R’ us ขนาดใหญ่นำสายตาผู้ที่เดินไปมาในเขตนั้นได้เห็นกันถ้วนหน้า ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ว่า นี่คือภาพใหม่ของเกม Angry Birds และยังใช้บรรยากาศเดิมที่ Star Wars เคยทำไว้ก่อนมาให้คุ้นกัน กลายเป็นว่าคนที่ติดตามกระแส Star Wars รอบหลังอาจจะมีลุ้นว่าเดือนต่อๆ ไปที่ Times Square เราจะเห็นแคมเปญอะไรใหม่ๆ ของ Star Wars อีกหรือเปล่า
Integrate กันระหว่าง Offline กับ Digital
แน่นอนว่าป้ายโฆษณาที่ปรากฏบน Times Square นั้นนอกจากจะสื่อว่า เกมภาคใหม่ของ Angry Birds นั้นคือ Angry Birds Star Wars นะตรงกันข้ามโลโก้ที่เด่นรองลงมาจากชื่อเกมและตัวละครก็คือ Toy ‘R’ us นั่นแปลว่ากลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่ อย่างเด็กๆ หรือผู้ที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน แต่ชอบสะสมของเล่นก็จะมองอีกมุมว่า “นี่คือโฆษณาของเล่นชุดใหม่หรือเปล่า”
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ พวกเขาจะเข้าไปดูสินค้า หรือของเล่นเหล่านั้น หากว่าเดินเข้าไปแล้วถามหาของเล่น แต่เจ้าของร้านบอกว่า “ไม่มี…มันเป็นแค่แอพพลิเคชันเกมบนสมาร์ทโฟน” ก็อาจจะเสียกลุ่มเป้าหมายใหม่กลุ่มนี้ไป
ดังนั้น Rovio และ Lucas Film ก็ได้จับมือกับ Toy ‘R’ us ออกชุดของเล่น Angry Birds Star Wars ขึ้นมาทันที ขายพร้อมกับการโปรโมตเกม แน่นอนว่านี่เป็นการดึงคนที่อยู่ในโลกออฟไลน์ได้รู้จักตัวละครเหล่านี้ เมื่อพวกเขาได้รู้จักก็จะทราบถึงที่มาว่า แท้จริงแล้วตัวละครเหล่านี้นั้นคือตัวละครจากเกม Angry Birds ที่เป็นเกมบนสมาร์ทโฟนนั่นเอง ผลลัพธ์ที่จะตามมาก็คือ กลุ่มเป้าหมายใหม่ที่จะเข้ามาดาวน์โหลดเกมไปเล่น ซึ่งก็จะทำให้ค่า CPI (Cost per Install) ของแอพพลิเคชันนั้นเกิด ROI (Return on Investment) ขึ้นมาได้ – เหมือนอย่างที่บ้านเรา ไอศกรีมแม็กนั่ม ที่ใครๆต่างก็บอกว่าแคมเปญมันประสบความสำเร็จถ้วนหน้าทั้งสองสื่อ แต่จริงๆ ในมุมมองของผม แม็กนั่มทำออฟไลฟ์อย่างโทรทัศน์ หรือป้ายโฆษณามาเพื่อ Support ออนไลน์ (ที่มีการ Bold มาก่อนแล้วพักใหญ่) มากกว่า ซึ่งไม่ใช่เอาออนไลน์ไป Support ออฟไลน์เหมือนหลายๆโปรดักด์
อย่าลืม Viral Marketing
อันที่จริงการใช้พวก Fan Art มาช่วยวาดการ์ตูนตัวละครไปก็ถือว่าเป็นการทำ Viral ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ความจริงกระแสของ Viral จาก Fan Art มันเป็นการเจาะจงเฉพาะกลุ่มของคนที่จะติดตามภาพวาด และเข้าไปดูกราฟิกสวยๆ มากกว่า แต่ถ้าต้องการจะสร้าง Viral Marketing แบบโปรยกระแสทั่วไปนั้นตนอกจากการโหม Share รูปภาพจาก Facebook และ Twitter แล้ว อย่าลืมว่าผู้บริโภคสมัยนี้ต้องการภาพที่เข้าใจได้ง่าย สั้นๆ และสร้างความน่าสนใจ ที่สำคัญดูได้ทุกที่
Instagram คือทางออกของแคมเปญนี้ในเรื่องของการสร้าง Viral Marketing ซึ่งนอกจากมันจะทำการแบ่งปันภาพจากคนไปอีกคนบนสมาร์ทโฟนแล้ว ภาพเหล่านี้ยังถูกต่อยอดไปยัง Pinterest และ Social Media อื่นๆ ได้อีกด้วย
จะเห็นว่าแผนกลยุทธ์ของ Rovio และ Lucas Film ในรอบนี้หิ้วพวกนกเกรียนเหล่านี้ดัง และโหมประโคมสร้างกระแสกันอย่างจริงจัง บ้าพลัง ด้วยเครื่องมือทางการตลาด และการวางแผนที่เรียบง่ายไม่ต้องฉลาดล้ำลึก หรือซับซ้อน Advance อะไรมากมาย ขอแค่ครบองคืประกอบ และจับตาดูว่ามันครอบคลุมหรือยัง นอกนั้นก็อาศัยพลังของ Angry Birds และ Star Wars มาช่วยอีกทีก็ถือว่าสำเร็จสวยงาม
นี่คงจะเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่เรียกว่า “Jedi Marketing” แน่ๆ เอาเถอะ เพราะตอนนี้มันเป็นมากกว่าเกมบน iPhone ไปแล้วกับ Angry Birds Star Wars
“May the birds be with you”
