การใช้ศาสตร์ Inbound Marketing มาประยุกต์ปรับแต่ง SEO บนหน้า Facebook Fan Page ให้รองรับการค้นหาผ่าน Google สำหรับคนที่ยังไม่มีเว็บไซต์
ในตอนนี้จะเรียกได้ว่า Google นั้นเปรียบเสมือนช่องทางในการตัดสินใจของผู้บริโภค หากให้ลองวิเคราะห์ดูอย่างจริงจังทุกครั้งที่มีการค้นหาด้วย “Keyword” อะไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ปรากฏนั้นมักจะมีอยู่ 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นโฆษณา Adwords สีเหลืองด้านบน และส่วนที่เป็นผลลัพธ์การค้นหาที่เกิดขึ้นจากการปรับแต่ง Content หรือที่เรียกว่า Organic Search ซึ่งค่าการคลิกของหน้าแรก Google นั้นเป็น 30 และ 70เปอร์เซ็นต์ ซึ่งใน 30เปอร์เซ็นต์นั้น เป็นของโฆษณา และอีก 70เปอร์เซ็นต์ เป็นผลลัพธ์ปกติ สิ่งที่แตกต่างคือ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่มาจากโฆษณานั้นเป็นการแสดงผลสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการเดี๋ยวนั้นจะมีโอกาสในการซื้อ หรือ Convert จากผู้ค้นหากลายเป็นลูกค้าได้ตรงกันข้ามใน 70เปอร์เซ็นต์ นั้นกลับพื้นที่ที่ผู้บริโภคใช้สำหรับหาข้อมูลศึกษาสิ่งที่บริการหรือสินค้าของเรา
ซึ่งในปัจจุบัน Google เองเริ่มให้ผลลัพธ์การค้นหารองรับในส่วนของ Social Media ให้ปรากฏบน Organic Search มากขึ้น จะเห็นว่าก่อนหน้านี้จะเน้นเรื่องของ Google+ Button ที่ปรากฏ แต่ในตอนนี้ Content อย่าง Timeline บน Twitter หรือ Wall Post จาก Facebook Fan Page นั้นมีการปรากฏบนหน้าผลลัพธ์มากขึ้น การที่มีผลลัพธ์ที่แสดงผล Social Media ปรากฏขึ้นนั้น เป็นผลดีต่อผู้ประกอบการขนาดเล็กระดับเริ่มต้นหลายคน ที่ยังไม่พร้อมจะมีเว็บไซต์ แต่มีพื้นที่เล็กๆ อย่าง Facebook เป็นร้านค้า มีโอกาสในการที่จะใช้ Fan Page ของตัวเองเป็นเหมือนเว็บไซต์มาปรับแต่ง SEO ได้ทั้งบน Google และ Graph Search ได้เลย
เนื่องจาก Facebook ในตอนนี้มีมากกว่า 800 ล้านกว่าคนที่ Active จริงๆ และมี Log การใช้งานมากกว่า 50เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ โดยเฉลี่ยจาก Komliและ Facebook ในประเทศไทยนั้น ใน 1 วันมีการโพสต์บน Wall ของผู้ใช้ 176 ล้านครั้งต่อวัน มีการ Comment แสดงความเห็นในหน้า Page และหน้า Profile เกิดขึ้น 1.3 ล้านครั้ง และมีการอัพโหลดวิดีโอมากถึง 1 ล้าน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละวันในประเทศไทย ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะอยู่บน Social Network หรือ Social Media นี่เป็นสิ่งที่ทาง Google รับรู้สำหรับแบรนด์สินค้าบางตัวนั้น หน้า Official Website หรือ Business Website กลับนิ่งมากกว่า หน้า Fan Page ที่ทำขึ้นมา เพราะผู้บริโภคหากชอบใจในบริการหรือตัวสินค้าจริงๆ แล้ว มักจะเข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับแบรนด์ในหน้า Facebook Fan Page เพราะมันสามารถเข้าถึงได้ไว โต้ตอบแบบ 2 Ways Communication ได้รวดเร็วมากกว่าการเข้าไปใช้ Live Chat หรือ Contact Us จากหน้าเว็บไซต์
Google เริ่มมองเห็นความสัมพันธ์ของBrand และผู้บริโภคแบรนด์หลายๆ แบรนด์ทำ Social Engagement บนหน้า Fan Page Facebook มากขึ้น
ทำให้ Google ต้องเจาะจงให้ Index หน้า Fan Page หรือเนื้อหาหน้า Wall ของ Fan Page นั้นมาปรากฏบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทาง Google ยอมทำให้ Facebook เพราะ Google ถือว่า Content อย่าง Text, Videos, News ที่ประกอบด้วย Keywords สำคัญทั้งหลายบน Facebook นั้นคือ Digital Asset ที่มีค่ากับBrand เพราะว่า Content ทั้งหลายที่อยู่บน Facebook Fan Page นั้นเป็น Asset เชิงสาธารณะ หรือ Publicly Assets ทำให้ Google สามารถเข้าไปเก็บข้อมูล Content ทั้งหลายได้ง่าย อีกทั้งผู้บริโภคก็สามารถมองเห็น Content ของ Fan Page เหล่านี้ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องกด Like ที่ Fan Page และสามารถมองหาได้บนผลลัพธ์ Google ได้อีกด้วย
แน่นอนถ้าทาง Google ให้คะแนนและเก็บ Index ของหน้า Fan Page บน Facebook โอกาศที่เราจะทำ Search Engine Optimized หรือ SEO กับหน้าแบรนด์ของ Facebook ได้ซึ่งถ้าทดสอบดูแล้วส่วนที่ Google จะทำการเข้าไปเก็บ Index ผ่านการ Crawling บน Fan Page นั้นจะมีสิ่งต่อไปนี้
- Index หน้าของ Facebook Comments
- Index ส่วนของ Wall Post บน Fan Page ด้วย Keywords ประเภท Phase หรือแบบประโยค
แค่สองส่วนนี้เราสามารถที่จะทำให้ประโยค Copy ของโปรโมชั่นสินค้าและบริการของคุณให้ไปปรากฏบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาบน Google ได้ เพราะถ้าเปรียบเทียบในเรื่องของการรับรู้แบรนด์แล้ว บน Google จะให้มูลค่าของแบรนด์เชิง Active ที่ต่างกับ Facebook ที่ให้มูลค่าของแบรนด์เชิง Passive
ความหมายเชิง Active และ Passive ในการรับรู้แบรนด์
การที่ผู้บริโภคจะมีโอกาสรับรู้แบรนด์นั้น จะเกิดขึ้นอยู่ 2 รูปแบบกรณีคือ Active และ Passive ใน Social Media อย่าง Facebook นั้นถือว่าเป็นการโปรโมตแบรนด์ให้ผู้บริโภครับรู้แบบ Passive ตัวอย่างเช่น โฆษณาที่ปรากฏด้านข้างขวามือของหน้าจอ Facebook มักจะปรากฏธุรกิจขึ้นมาโดยอ้างอิงจากความชอบ Interest ซึ่งมาจาก Wall Post บนหน้า Profile ของเราที่ชอบพูดคุยเรื่องอะไร หน้า Pageรูปภาพ หรือ Content Marketing ที่เรากด Like ทุกสิ่งจะถูกเก็บเป็นข้อมูลความชอบ เพื่อที่เป็นแหล่งข้อมูลให้นักการตลาดสามารถทำการ Target โฆษณาบน Facebook ให้ปรากฏขึ้นตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการปรากฏคือการนำเรื่องราว หรือสินค้าบริการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจ และ Likeที่เคย Like ไว้
ข้อความในโฆษณาหรือรูปภาพจะเข้ามากระตุ้นให้เกิดความสนใจในโฆษณา และพร้อมที่จะ Convert ผู้บริโภคที่เข้าชมกลายเป็นลูกค้าในที่สุดซึ่งจะต่างจาก Google ที่เป็นการโปรโมต Copy หรือโฆษณา และ ให้ข้อมูลแบบ Active ที่ข้อมูล หรือโปรโมชั่นทั้งหลายนั้น พร้อมจะเสิร์ฟถึงมือให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งโดยปกติ Facebook จะไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องนี้นอกจากประกาศให้รับรู้
สรุปก็คือ Facebook เป็นเหมือนช่องทางให้ผู้บริโภครับรู้แบรนด์ที่เข้ามากระตุ้นด้วยความสนใจ และความชอบ ส่วน Google นั้นคือช่องทางที่ผู้บริโภครับรู้แบรนด์ได้ เพราะต้องการค้นหาในเวลานั้น และต้องการเดี๋ยวนั้น นั่นเองครับดังนั้นถ้าเราสามารถใช้ข้อดีในการสร้าง Viral หรือกระแสบอกต่อเนื้อหาโปรโมชั่น หรือ Copy บน Content Marketing จากหน้า Fan Page ของเราที่เป็น Passive ให้กลายเป็น Active ได้ก็ต้องใช้ช่องทางที่ Google มาช่วยเก็บ Index หน้า Fan Page เท่านี้แหละครับ
SEO ให้กับหน้า Facebook Fanpage |
---|
เป้าหมายหลัก |
การสร้าง Brand Management เพื่อเพิ่มช่องทางในการโปรโมตแบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น |
สร้าง Brand Visibility |
ทำให้เกิด Impact กับผู้บริโภค |
ข้อความบน Fan Page สามารถสร้าง Engagement กับผู้บริโภคเดิม และดึงเพิ่มผู้บริโภคใหม่ |
Reputation Management การจัดการชื่อเสียง และเครดิตของแบรนด์ว่าตอนนี้มีแนวโน้มยังไง |
แนวทางการปรับแต่ง SEO ให้กับ Facebook Fan Page
การบอกให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์ของเรา หรือการทำ Brand Management แน่นอนเป้าหมายขั้นต่ำตอนแรกคือการได้มาซึ่งจำนวน 25 Likes เพื่อจะได้มีโอกาสแก้ URL ของหน้า Fan Page ให้สั้นลง และจดจำง่าย เมื่อได้จำนวนแฟน 25 คนแรก แล้วสิ่งที่ควรทำต่อไปคือ Profile Picture การสร้าง Profile Picture ที่แน่นอนว่า คุณต้องห้ามลืม Logo ของคุณใน Profile Picture ของหน้า Fan Page ครับ ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกับ Cover Photo อีกที เพราะ Cover Photo นั้นคือช่องทางหนึ่งที่คุณจะสามารถเล่นกับข้อความโปรโมชั่น หรือ Brand Visibility ได้อย่างดีที่สุด
ต่อมาคือการเพิ่ม About และการตั้ง Milestones แน่นอนว่า About ของหน้า Fan Page นั้นอาจจะต้องใช้ Copy Writer มือดีคนหนึ่งมาช่วยคิดเลยทีเดียว ข้อความที่ไม่ควรเกิน 165 อักษรให้คนเข้ามาเจอบนหน้า Fan Page และปรากฏบนผลลัพธ์การค้นหาของ Google ให้ดูดึงดูดและน่าสนใจนั้นเป็นโจทย์ที่ยากที่สุดแล้วครับ
แน่นอนว่าใน Tips หนึ่งที่น่าทดลองคือการใส่ “Keyword”ลงไปในคำบรรยายที่ชัดเจน และเคลียร์ จะมีส่งผลถึงผลลัพธ์การค้นหาของหน้า Fan Page ได้ดีที่สุดครับ
ส่วนของ Milestones นั้น คือสิ่งที่ต้องพูดคุยกับทีมการตลาดหลังบ้าน เช่น การวาง Years Plan สำหรับสินค้าหรือบริการ เช่น Product Launches, Store Opening, จัดงานอีเวนต์ และการได้รับรางวัลเ ป็นต้นครับ สิ่งเหล่านี้คือการวางแผนล่วงหน้าที่จะทำให้ Content Marketing ที่ปรากฏนั้นดูน่าดึงดูด ซ้ำยังจะทำให้ Content บน Wall Post เหล่านั้นมีโอกาสติดหน้า Google อีกด้วยใน Keywords ที่เกี่ยวข้องซึ่งการวาง Mile Stones นั้นจะเกี่ยวกับเรื่องของ Content Marketing บน Facebook อย่างเดียวไม่ได้ ต้องมี Keywords วางไว้แต่แรกแล้วครับ
Facebook Fan Page แน่นอนว่าใน Tip หนึ่งที่น่าทดลองคือ การใส่ Keyword ลงไปในคำบรรยายที่ชัดเจน
และเคลียร์ จะส่งผลถึงผลัพธ์การค้นหาของหน้า Fan Page ได้ดีที่สุด
การทำ Brand Visibility และสร้าง Impact ให้กับ Fan Page บน Google
สำหรับการสร้าง Visibility นั้นส่วนใหญ่หลายคนจะ สร้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวอยู่แล้ว เช่น การ ใช้ Social Integration Plug-in บน Blog พวกไอคอนของ Social Media ทั้งหลายแน่นอนก็ไม่หนีไม่พ้น Facebook ไม่ก็พวก Like Box ที่เราสร้างได้เองนั่นแหละครับ แต่สำหรับหลายคนที่ไม่อยากรู้ว่าทำอะไรมากกว่านี้ไหม ให้ลองเพิ่มการปรับแต่งเนื้อหาหน้า Page เข้าไปในรูปแบบของ Content ครับ แล้วใช้ Link เข้าช่วย แต่เชื่อมต่อไปยัง Fan Page แทนอย่าง
จะเป็นการเพิ่ม Inbound Link เพิ่มคะแนนการค้นหาบน Google ให้ติดอันดับมากขึ้นครับ โดยใช้ Keywords Rich มาช่วยให้หลายคนที่ต้องการค้นหาบางสิ่ง ณ ขณะนั้นเข้ามาเป็น Fan ของ Facebook แบรนด์ของเรา เพื่อที่เราจะได้ทำ Customer Relation Management กลับได้ในฐานที่กว้างขึ้น
การสร้าง Impact แก่ผู้บริโภคผ่าน Wall Post ให้ปรากฏบน Google
Featured หนึ่งที่สามารถปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ตรงกับ Keyword บน Google นั้นสามารถใช้ Highlightของ Wall Post มาช่วยโดยการปักหมุด Wall หรือ Content Marketing นั้นให้อยู่บนสุดของหน้า Fan Page ตลอดเวลา ณ ช่วงขณะที่ต้องการเล่น แคมเปญ หรือโปรโมตร่วมกับ Keywords ให้ตรงตามกับการวางแผน MilesStones ครับ
ต่อจากนั้นก็อย่าลืมที่จะทำ Engagement ให้เกิดการ Share และ Like ใน Fan Page ของเราให้มากที่สุดครับ ให้ยึดตาม Metric ต่อไปนี้นะครับสำหรับการทำ SEO ให้กับ Fan Page ต้องใช้หลักความสัมพันธ์ดังนี้
- Likes and Shares = Social Signals (การ Likes หรือ Share คือการที่ผู้บริโภคได้เริ่มส่งสัญญาณบนสื่อสังคมว่ารับรู้)
- Social Signals = Social Engagement (การแชร์ การส่งสัญญาณบนสื่อสังคม คือ การที่เราจะทราบถึงค่า Engagement ของผู้บริโภคบนสื่อสังคมกับแบรนด์)
- Social Engagement = Relevance (ทำให้เกิดความสอดคล้องความสัมพันธ์ของข้อมูลในที่นี่คือ ผู้บริโภคบนสื่อสังคมมีความสัมพันธ์กับแบรนด์)
- Relevance = Rank (เมื่อผู้บริโภคมีสัมพันธ์กับแบรนด์แล้ว จะส่งผลต่อการค้นหาและสร้าง Rank อันดับให้กับแบรนด์ของเรา)
ซึ่งหลักความสัมพันธ์ทั้งหมดที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นเสมอบน Facebook และผลลัพธ์การค้นหาบน Google ครับ
หากว่าลองปรับแต่งหรือทำตามขั้นตอนที่วิเคราะห์ขึ้นมาจากหลักการที่กล่าวขึ้นทั้งหมดจะทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในระยะเวลาที่ไม่นานมาก นั่นคือ 2-4 สัปดาห์ที่หน้า Fan Page หรือ หน้า Wall ที่มี Content Marketing ของเราปรากฏบนหน้าแรกของ Google ครับ
กลายเป็นว่าทุกวันนี้ หลักการ Optimized นั้นไม่ได้จบลงที่การ Optimized ปรับแต่งเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อหลายแบรนด์หรือหลายองค์กรตระหนักได้แล้วว่า ผู้บริโภคมีโอกาสที่จะเห็น Content บนเว็บไซต์ของแบรนด์น้อยกว่า Facebook FanPageไปแล้ว ดังนั้นเราจำเป็นต้องวางแผนปรับแต่ง Content บน Fan Page ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับ Keywords ที่เราตั้งไว้ใน Miles Stone จะได้ผลดีกว่าครับ น่าจะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ สำหรับ SMEs หลายคนที่ยังไม่มีเงินทุนสร้าง หรือพัฒนาเว็บไซต์ และมีทุนในการซื้อ Media ใช้ Fan Page อย่างเดียวก็ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกันครับถ้าหากว่าทำให้ผมถูกค้นพบได้ง่ายทั้งบน Facebook และบน Google โดยใช้หลัก Inbound Marketingก็พอ
บทความนี้ ผมได้เขียน และตีพิมพ์ในนิตยสาร E-Commerce Magazine ในหัวข้อ
“Inbound Marketing ปรับผลลัพธ์การค้นหาของหน้า Fan Page บน Google”