สำหรับยุค 3G ที่ปัจจุบันนี้ข้อมูลทุกอย่างวิ่งไปมาอย่างรวดเร็ว และเสิร์ฟตรงถึงมือของผู้บริโภค ผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาอย่างแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะแท็บเล็ตที่กำลังอยู่ในช่วงคาบลูกคาบดอกในการเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะชี้วัดถึงคุณภาพการศึกษา และจะเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคจากสื่อแบบเก่าอย่างหนังสือ นิตยสาร หรือ แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ ได้หรือไม่ อาจจะต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์คาดการณ์อนาคตกันต่อไปว่า เจ้าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาแทนที่สื่อเก่าได้หรือไม่ แต่ถ้าหากมองในแง่ของการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ สื่อใหม่อย่าง Digital Media บางตัวอย่าง E-Book หรือ E-Magazine กำลังเข้ามาเบียดแย่งพื้นที่กับสื่อเก่า และมีแนวโน้มในการเติบโตมากขึ้นในปัจจุบัน
ทำไมต้องสื่อเก่าอย่างสิ่งพิมพ์ต้องมีการพัฒนา E-Book ควบคู่ไปด้วยเพื่อทดลองตลาด?
สิ่งที่หลายสื่อ อย่างหนังสือพิมพ์รายวัน และนิตยสาร เริ่มกังวลในปัจจุบันคือ แนวโน้มของผู้บริโภคที่เริ่มจะหันไปบริโภค เนื้อหา หรือ คอนเท็นท์ในรูปแบบ Digital Content มากกว่าการซื้อหนังสือพิมพ์ หรือ นิตยสารแบบเดิม แม้ว่าในตอนนี้สื่อเก่าอย่าง สิ่งพิมพ์ เช่นหนังสือพิมพ์ หรือ นิตยสาร จะยังไม่หมดไปทันที และตัวผู้เขียนเองก็มีความเห็นว่าสิ่งพิมพ์ยังคงอยู่เช่นเดิมไปอย่างนี้อีกนาน คงยังไม่มีทางหมดไปจากโลกนี้ในเวลาอันสั้น แม้จะมีการเข้ามาแย่งพื้นที่ของสื่อใหม่อย่าง E-Book หรือ E-Magazine ก็ตาม แต่รายงานสถิติจากหลายๆ สื่อต่างได้วิเคราะห์แนวโน้ม ผลกระทบของสื่ออย่างหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร ด้วยตัวเลขที่น่าคิดมากมาย เช่น ข้อมูลจาก Wall Street Journal ได้รายงานว่า หนังสือพิมพ์ The New York Timesที่มีผู้บริโภคข่าวสารบนเว็บไซต์ และช่องทางอื่นๆ มากกว่าหนังสือพิมพ์ ที่ขยายตัวสูงขึ้นมากกว่า 10% จนกระทั่งรายได้การขายโฆษณาบนสิ่งพิมพ์ในปี 2009 มีอัตราลดลง ทำให้ The New York Times ต้องลดต้นทุนการผลิตในสิ่งพิมพ์ แบบกระดาษลงไปกว่า 25% และในวงการนิตยสาร ก็ไดรับผลกระทบเช่นกัน เมื่อนิตยสารกว่า 367 สำนักพิมพ์ ในสหรัฐฯ หยุดการพิมพ์ในรูปแบบสิ่งพิมพ์ แล้วหันมาสร้างเนื้อหาผ่านเว็บไซต์ และ E-Magazine เป็นหลักเพื่อเพิ่มยอดขายโฆษณา ด้วยเหตุนี้เอง E-Book และ E-Magazine จึงกลายเป็น ทางเลือกหนึ่งที่ผู็ประกอบการด้านสิ่งพิมพ์ อย่างหนังสือพิมพ์รายวัน และนิตยสาร หลายแห่งจำเป็นต้องเพิ่ม E-Book และ E-Magazineเป็นช่องทาง ที่จะสร้าง และขยายฐานผู้บริโภคจากเดิมให้กว้าง มากขึ้น และเพื่อกันความผิดพลาดเมื่อกระแสของเวลาบนโลกนั้นเปลี่ยนไป
Framework คือเครื่องมือสำคัญของธุรกิจ SMEs
การเติบโตของสื่อ Digital ในตอนนี้ เป็นเหมือนโอกาสสำคัญที่เหล่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมอย่าง SMEs ที่กำลังวางเป้าหมายเปลี่ยนรูปแบบสื่อเดิม หรือรับออกแบบพัฒนาเนื้อหาให้ออกมาในรูปแบบ E-Bookหรือ E-Magazineจะมีมากขึ้น การแข่งขันของธุรกิจด้านการนำเสนอคอนเท็นท์ในรูปแบบ E-Book จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น หลายแห่งนิยมค้นหา Framework และแนวทางพัฒนามากมาย ที่จะสร้างจุดเด่นของ E-Book ของตนให้เป็นเอกลักษณ์ และง่ายต่อการนำไปต่อยอดเพื่อสร้างจุดขาย และความน่าจดจำของเครื่องมือที่จะสร้างสรรลงานให้ออกมาดูดี ดังนั้น E-Book และ E-Magazine ที่ผูกพัฒนา หรือออกแบบขึ้นมาต้องสามารถแสดงผลบนอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถโต้ตอบกับผู้อ่านได้ ทั้งรูปแบบมีเดียเช่น ไฟล์วีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว เนื้อหาที่ตอบสนองได้ผ่านการสัมผัสแบบ Gesture Touch Mode (การเคลื่อนไหวตอบสนองที่ถูกออกแบบให้เป็นแอนิเมชัน อย่างการ Flip, Swap, Slide เป็นต้น) เพราะหากขึ้นชื่อว่าเป็น E-Book หรือ E-Magazine แล้วสื่อที่ปรากฏหากไม่สามารถโต้ตอบได้ หรือเป็นเพียงแค่ การแสกนไฟล์เอกสารให้กลายเป็นไฟล์นามสกุล PDF ก็คือจุดบอดที่ไม่ต่างอะไรกับการ กลับไปทำสิ่งพิมพ์แบบเก่าจะดีกว่า
แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็น SMEs หรือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ ขนาดกลาง และขนาดย่อมแล้ว ย่อมมีความแตกต่างกับ องค์กรระดับใหญ่ เรื่องของต้นทุนในการจัดหา และพัฒนา Framework หรือ เครื่องมือ (Tools) ที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้นเป็นปัจจัยหลักของการดำเนินธุรกิจ เพราะหากจะให้ลงทุนกับ เครื่องมือ หรือ Framework ที่มีคุณภาพแต่ราคาสูงเกินไปสำหรับผู้ประกอบการ SMEs จะรับได้ ก็อาจจะเกิดปัญหาสะท้อนภายหลังออกมา เช่น ปัญหาของการใช้ซอฟท์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งก็จะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าในระยะยาวที่ SMEs จะต้องประสบ
เครื่องมือ และ Framework ที่ผู้เขียนจะนำเสนอในบทความนี้ คือ เครื่องมือที่จะช่วยเป็นทางเลือกของเหล่าผู้ประกอบการ SMEs ได้นำไปใช้พัฒนา E-Book และ E-Magazine ของตนได้สะดวก และไม่เสียค่าใช้จ่ายที่มากเกินกำลังของตน Framework ที่น่าสนใจมากที่สุดที่ผู้เขียนอยากจะโฟกัส คือ Framework ที่ไม่ได้ผูกขาดกับ ระบบปฏิบัติการเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี เว็บ HTML5 กับโปรแกรม Javascript อย่าง JSON และ JQuery ที่ต้องอาศัยชุดพัฒนาที่เป็นแบบ Open-source ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Hybrid Framework หรือ Hybrid Application Framework ซึ่งอธิบายให้ง่ายอีกครั้งก็คือ การพัฒนาแอพพลิเคชันบน Mobile Platform ทั้งบน iPhone และ iPad หรือแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android ให้แสดงผลออกมาเหมือน Native Application (แอพพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มพื้นฐาน) ทั้งที่จริงๆ แล้วสร้าง และพัฒนาขึ้นจาก HTML และ Javascript เป็นการสร้างเว็บไซต์ หรือเว็บแอพพลิเคชัน ให้ออกมาเป็นแอพพลิเคชันนั่นเอง
ติดตามต่อในซีรีย์นี้
