ผู้เขียนคิดว่าผู้อ่านหลายคนคงจะรู้จัก Social Media หรือ สื่อสังคมออนไลน์ และ ก็เชื่อว่า หลายคนที่ประกอบอาชีพ นักการตลาดออนไลน์ หรือ ดิจิตอลเอเจนซี่ คงต้องเคยใช้ Social Media ทั้งหลายมาเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์เพื่อธุรกิจ และ บริการ ให้แก่ลูกค้าที่ว่าจ้าง หรือบริการของตัวเองให้เป็นที่รู้จัก เพื่อสร้าง Brand Awareness ให้แก่ บริการ แคมเปญ และ ธุรกิจ ให้เป็นที่น่าจดจำ ซึ่งตลอดปี 2010 ที่ผ่านมาผลสำรวจจากหลายที่ได้ระบุว่า การใช้ Social Media หรือสื่อสังคมออนไลน์ในการทำการตลาดนั้น ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าการใช้ สื่อเดิม หรือ Traditional Media เช่น โทรทัศน์ และ สิ่งพิมพ์ พฤติกรรมของผู้ใช้ เครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ Social Network ในปัจจุบัน มีผลกระทบโดยตรงต่อการทำการตลาดผ่าน Social Media เพราะแนวโน้มในปัจจุบันนี้ ผู้คนเริ่มมี เครื่องมือในการติดต่อเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน ซื้อสินค้า หรือ แม้แต่การทำกิจวัตรประจำวัน ในเรื่องต่างๆ มากมายผ่านเครือข่ายมากขึ้น และ เพื่อนในเครือข่ายของผู้ใช้งาน เหล่านั้นก็ล้วนมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันที่ปรากฏบนโลกออนไลน์ ผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Social Network มากขึ้นอีกด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าในปี 2011 นี้ จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในการบริโภคสื่อของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เปลี่ยน ผู้เขียนจึงมีข้อแนะนำ เบื้องต้นเล็กน้อยสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการทำการตลาดผ่าน Social Media หรือ สื่อสังคมออนไลน์ มาแนะนำโดยอ้างอิงตามกระแส สำหรับให้ผู้อ่านที่สนใจสามารถนำไป วิเคราะห์ และ ประยุกต์ใช้งานได้จริง พร้อมที่จะนำไปเป็นข้อมูลชี้วัดประสิทธิภาพในการลงทุนด้วย สื่อสังคมออนไลน์ หรือ Social Media ในอนาคตอีกด้วย
ประเภทของ Social Network และ การเชื่อมโยงต่อกันระหว่างเครือข่าย
ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ สมัครเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ Social Network นิยมสมัคร Social Network หลายแห่งและใช้งานเครื่องมือ หรือ คุณลักษณะเด่นของ เครือข่ายนั้นต่างการทำงานกันไปตามวัตถุประสงค์ของตัวเอง เช่น กลุ่มผู้สื่อข่าวนิยมใช้ Twitter ในการ ทวิต ข้อความรายงานพาดหัว กลุ่มนักธุรกิจนิยมเล่น LinkedIn แทนการเขียน Resume ของตัวเอง และ กลุ่มเพื่อนสนิทส่วนใหญ่ และ กลุ่มสังคมของบริการต่างๆ ใช้ Facebook ในการประชาสัมพันธ์บริการเป็นซะส่วนใหญ่ แน่นอนว่าผู้ใช้งานเครือข่ายทั้งหลายในปี 2011 นี้เริ่มจะมองออกว่าคุณลักษณะ หรือ การทำงานหลักของแต่ละเครื่องมือ Social Network แต่ละตัวต่างกัน ดังนั้นหากต้องการใช้ Social Media ในการทำการตลาดให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายควรศึกษาให้ดีว่า ข้อมูลที่จะนำไปโพสท์บน Social Network แต่ละตัวนั้นต้องสอดคล้องกับการแสดงผลในรูปแบบของ Social Network นั้นด้วย ตัวอย่างคือ ไม่ควร โพสท์ประกาศสมัครงาน และ ระบุตำแหน่ง แบบระเอียดผ่าน Twitter และ Facebook เพราะจะเป็นการหว่านแหในมหาสมุทร ที่กว้างไป ถึงทำได้ก็น่าจะได้รับการตอบรับที่ช้ากว่า การใช้บริการ LinkedIn ในการหาบุคลากรที่เหมาะสม
มีส่วนร่วมให้มาก คุยกันให้มากขึ้น
“A conversation is a tool of all kind of relationship.”
โอกาสที่เราจะพบเจอ และ พูดคุยใครบางคนใน Social Network เพียงครั้งเดียว แล้ว อาจจะไม่ได้พูดกับคน คนนั้นอีกเลย เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นสูงมากในโลกอินเทอร์เน็ต การที่เราจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายของ ใครบางคน เป็นส่วนหนึ่งในเครือข่าย บนหน้าสำหรับธุรกิจบน Facebook หรือ Fan Page นั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ร้องขอ หรือ กดLike แต่สิ่งที่ยากที่สุด คือ การรักษาความสัมพันธ์ หรือ Connection ระหว่างคน คนนั้น หรือ คนกลุ่มนั้นให้ดีอย่างต่อเนื่อง เช่น คุณสามารถเข้าร่วมกลุ่ม หรือสร้าง หน้าบริการ หรือ Fan Page ที่คุณสนใจได้ถึง 20 หน้า ร่วมกลุ่มกับเครือข่ายเหล่าได้นั้นมากกว่า 100 กลุ่ม แต่คุณเคยมองกลับไปไหมว่า คุณ สละ เวลาที่จะพูดคุยหรือดูแล สมาชิกในกลุ่มเดียวกันใน 20-100 กลุ่มของคุณนั้นได้ทั่วถึง สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ Social Media อย่าง Facebook Fan Page ในการดูแลฐานสมาชิกลูกค้านั้น หนึ่งบัญชีผู้ใช้ของคุณสามารถสร้าง Fan Page ได้อย่างไม่จำกัดแต่คุณต้องประเมินด้วยว่า การมี Fan Page ที่เยอะเกินไปอาจจะเป็นข้อดี แต่ ข้อเสียก็คือคุณอาจเกิดความสับสน หรือ แทบไม่มีเวลาเข้าไปพูดคุยเพื่อสร้างตัวตนในเครือข่ายนั้นได้ทั่วถึง วัดได้จากปริมาณหน้าเพจ ที่คุณสนใจจากบริการใดบริการหนึ่ง แค่ลองกดค้นหา จะพบหลาย Fan Page ที่ถูกปล่อยรกร้างหรือห่างหายจากการ อัพเดท Wall อยู่เยอะพอสมควร ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่า การที่จะใช้ Social Media อย่าง Facebook Fan Page นั้นต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณ และ สมาชิกในหน้าเพจให้ดี อย่าละเลยที่จะ ตอบกลับคำเสนอแนะของสมาชิก อย่างน้อยๆแค่คำว่า ขอบคุณ ก็พอแล้ว
ในหลายแหล่งข้อมูลได้มีการพูดถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในอินเทอร์เน็ต ได้มีนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์ กฎขึ้นมาข้อหนึ่ง ที่เรียกว่ากฎ “90-9-1 Rule” ซึ่งในบทความดังกล่าวได้ระบุกฎข้อนี้ว่า
“โลกนี้จะมีคนอยู่ 90 คนที่อ่านข้อความ จากคนที่แชร์ข้อมูล 9 คนที่แชร์ข้อมูลจากคนเพียง 1 คนที่เป็นคนสร้างข้อมูลนี้ขึ้นมา”
แต่สำหรับปี 2010-2011 นี้กฎดังกล่าวอาจจะต้องเปลี่ยนไปอาจจะต้องออกกฎใหม่ โดยอ้างจากการอัตราของกลุ่มคนที่ใช้ เครือข่ายสังคมออนไลน์ Social Network ที่มากขึ้น และ ข้อมูลที่ถูกนำเสนอผ่านการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ Social Media ซึ่งกฎใหม่ที่ถูกนำเสนออาจจะเปลี่ยนเป็น “900-98-1.5-0.5 Rule” ก็เป็นได้ คือ
“คน 900 คนจาก 1,000 คนไม่สนใจข้อมูลใน อีเมลของตัวเอง ไม่สนใจข่าวสารจาก RSS Feed แต่จะมีคน 98 คนสนใจที่จะอ่านมัน แต่ก็จะมีเพียง1.5 คนที่แชร์มัน และ มีเพียง 0.5(คนเดียวแต่กดแชร์ไปอย่างนั้นฆ่าเวลา ไม่คิดอะไร) คนเท่านั้นที่เป็นคนสร้างข้อมูลเนื้อหา”
แสดงว่าถ้าคุณไม่ค่อยมีเวลามากนัก แค่ซักนาทีเพื่อจะเข้าไปทักทาย และ สนทนา สร้างปฎิสัมพันธ์กับเหล่าสมาชิกใน Fan Page ของคุณทั่วถึง ให้ยกเลิกเพจ เหล่านั้นเสีย คิดดูสิว่าคุณต้องการเป็น 1 ใน 900 คนจากฎข้างบนแน่นอน
จัดระเบียบเนื้อหาบน Social Network ของคุณ
สิ่งหนึ่งในการใช้ Social Media ในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ คือ เนื้อหาของของบริการของคุณ ที่จะปรากฏบน Social Network และ กลวิธีการจัดระเบียบเนื้อหา ที่เป็นศัพท์ยอดฮิตอย่าง Content Curation ที่เป็นกลวิธีที่ แยกแยะ จัดกลุ่ม หมวดหมู่ของเนื้อหาที่มีสาระเกี่ยวข้องกันในประเด็นเดียวกัน ให้มาสื่อสาร และ เชื่อมต่อแบ่งปันกันผ่าน เครือข่ายที่สนใจในเรื่องเดียวกัน กลุ่มเดียวกัน เพราะปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าผู้รับสื่อ หรือ ผู้บริโภค ไม่สามารถรับรู้ข่าวสารจากบริการมากมายบนโลกออนไลน์ได้ทุกเรื่อง จะสามรถก็แค่สิ่งที่ตนสนใจเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Facebook จะเห็นว่า ผู้บริโภคสื่อบน Facebook จะไม่นิยมรับการโฆษณาสินค้า หรือ บริการ ที่มาปรากฏบน Wall ของหน้า Profile ตนทั้งที่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นกลุ่มทีนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ แต่จะเป็นฝ่ายที่เข้าไปหาสินค้า และ บริการเองมากกว่า ที่สินค้า และ บริการจะวิ่งเข้ามานำเสนอโดยตรงแก่ตัวเอง เป็นข้อชี้วัดที่บอกได้ว่า การทำการ ตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือ Social Media ควรจะต้องมีการวางแผนที่รอบคอบ และ ไม่ทำให้เกิดความน่ารำคาญ ไม่เป็นการไปตื้อนำเสนอมากเกินไป ซึ่งผู้เขียนคิดว่ากลยุทธ์ที่จะทำให้ Social Media ได้ผลในปี 2011 นี้คงจะเป็นการ บอกต่อ หรือการทำ Viral Marketing ผู้ใช้งาน Facebook และ Twitter ส่วนใหญ่นิยมกดลิงค์เพื่อรับข้อมูล หรือ ข่าวสาร บริการ จากเพื่อนบนเครือข่ายมากกว่า การกดจากป้ายโฆษณา หรือ Banner ดังนั้นรูปแบบ Viral Marketing จึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม และ ประสบความสำเร็จสูงสุดในการใช้ Social Media ในการปลุกกระแส ซึ่งแนวคิดการบอกต่อนี้จะเป็นการต่อยอดไปถึง แนวคิดของ บริการคูปองออนไลน์ที่ใช้แนวคิดการซื้อขายแบบ Group Buying อย่าง Social Commerce อีกด้วย
ปี 2011 ที่จะเป็นเส้นทางไปสู่ปี 2010 นี้สื่อสังคมออนไลน์ หรือ กลยุทธ์การใช้ Social Media จะวิ่งไปทางไหน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่าไหร่ ทุกคนที่ใช้งาน Social Media นั้นควรจะต้องเตรียมพร้อม ที่จะเรียนรู้ และ เข้าใจเครื่องมือในการใช้งาน Social Media ให้มาก เพื่อที่จะได้รู้เท่าทันกระแสของเครือข่ายใหม่ในอนาคตได้ต่อไป
บทความนี้ เป็นงานเขียนที่ ถูกตีพิมพ์ที่นิตยสาร
TrueLife Magazine vol.10 ฉบับเดือน มีนาคม 2011