วิธีการจัดการกับ Negative Result หรือผลลัพธ์การค้นหาที่ไม่พึงประสงค์ให้ออกไปจากหน้าแรกของ Search Engine นั่นคือการทำ Digital Asset Optimization
สำหรับ SMEs ย่อมมีข้อจำกัดในเรื่องของทุนในการทำการตลาด จะไปเล่นบทของนักเล่นหมากรุกสู้กับแบรนด์ใหญ่ๆ ก็คงจะไม่เหมาะเพราะการวางแผนที่นานเกินไปไม่น่าจะช่วยให้ SMEs หรือ Startup นั้นใช้เวลาในการทำแบรนด์ตัวเองดังได้ทันที เพราะมันนาน และมีขั้นตอนที่นานเกินป แนะนำให้เล่นบทเป็น Pokers Player จะดีกว่ารีบรู้ รีบกอบโกย แล้วก็รีบไปถ้าเห็นว่าไม่ดี แน่นอนการตลาดแบบแรกที่จะเข้ามาช่วยทำได้นั้นก็คงหนีไม่พ้น Inbound Marketing ครับ
การใช้ Inbound Marketing เข้ามาช่วยเหลืออย่าง Blog, Social Media และ Search Engine Optimization คือทางเลือกที่ดี และราคาถูกทีสุดที่จะสร้างรายได้จากเว็บไซต์และธุรกิจของคุณในตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคแต่อย่างไร หากสังเกตให้ดีในตอนนี้จะเห็นว่า เวลาที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้า หรือบริการนั้นมักจะเข้าไปค้นหาข้อมูลจาก Search Engine หรือจาก Community ต่างๆ ตามกฏของ Google ในเรื่องของ ZMOT (Zero Moment of Truth) ที่ทาง Google วิจัยมาผู้บริโภคจะทำการค้นหาข้อมูลของสินค้าและบริการด้วยตัวเองผ่านคนบนSocial Media และบนการค้นหาผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะ Google
การทำให้ติดอันดับแรกๆ ไม่ได้ยากเท่าไรแค่ศึกษา
กระบวนการ SEO ให้ดี แค่นั้นก็ได้อันดับดีๆ แล้ว ศึกษาได้ที่บทเรียนเหล่านี้
แต่…ถ้าหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
บริการ หรือแบรนด์ของเราใน Search Engine นั้นอยู่ในอันดับที่ดีแล้วแต่ต้องพบเจอกับผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ อย่างข้อความตำหนิผลลัพธ์ในแง่ที่สามารถสร้างความเสื่อมเสียต่อแบรนด์ของคุณที่เรียกว่า Negative Result ตัวอย่างของ Negative Result นั้นเป็นอย่างไรและสร้างผลเสียต่อธุรกิจของคุณอย่างไรผมขอบอกได้เลยว่าผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ถ้ามันปรากฏขึ้นในหน้าแรกของการค้นหาบน Google แล้วมันสร้างความลำบากใจขัดหูขัดตาของคุณแน่นอนนั่นแค่เรื่องของอารมณ์ที่ปรวนแปรของคุณเวลาที่พบเห็นมันแต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือกลุ่มลูกค้าของคุณหรือผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจใช้บริการของคุณสินค้าที่คุณมีอยู่อย่าลืมตามกฎของ ZMOT (Zero Moment of Truth) อีกยิ่งพาให้ปัญหานี้บานปลายไปกันใหญ่
หากว่าผลลัพธ์ของคุณอยู่อันดับดีที่สุดคือตำแหน่ง 3 อันดับต้นๆ ของ Google แล้วในอันดับที่ 4 รองมากลับเป็น Negative Result หรือข้อความตำหนิกระทู้หรือเว็บฯที่โจมตีบริการของเราอย่างตั้งใจหรือไม่แม้ว่าปัญหาที่ว่ามาจากผลลัพธ์นั้นในเชิงกฎหมายแบรนด์ของคุณและเจ้าของเรื่องได้จัดการแก้ปัญหาไปแล้วแต่ถ้าข้อมูลยังไม่ได้ถูกลบไป NegativeResult ตัวนี้จะเป็นทั้งปัญหาที่คาใจ และเครื่องมือในการโจมตีแบรนด์ของคุณจากคู่แข่งในด้านธุรกิจของคุณได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ตามมาก็คือความน่าเชื่อถือที่ลดลงของแบรนด์คุณจากผู้บริโภคครับ
อย่าที่ผมเคยบอกไว้ว่าการแก้ปัญหา Negative Result พวกนี้นั้นไม่ยากเท่าไรสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วแค่คุณมีเส้นสายกับ กระทรวง ICT เพียงแค่จับได้ ถ้าไม่ใช่แพะก็จบลบ Content ส่วนนั้นไปซะ ผลลัพธ์ไม่ดีก็จะหายไป แต่…
คุณจะมาเอาแน่เอานอนกับข้อแก้ไขข้างต้นนั้น คงไม่ได้ หรือมีความเป็นไปได้เพียงแค่ 0.00000000000000000001% แค่นั้นเอง ถีงกว่าจะแก้ได้ด้วยความรวดเร็วของระบบ และการดำเนินการก็คงพาลให้คนที่โจมตีเรานั้นแก่ตาย ไม่ก็ลืมไปหมดแล้วว่าเคยโจมตีเรา การแก้ปัญหาจุดนี้ไม่ได้เอื้อในเรื่องของเวลาในการแก้ปัญหา
ดังนั้นวิธีการที่จะแก้ไขได้นอกจากวิธีการเบื้องต้นนั้นคือ
Search Engine Optimization กับการทำ Digital Asset Optimization
คำว่า Digita Asset ก็คือ Media หรือ Asset ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย เช่น รูปภาพ วีดีโอ เว็บไซต์ กระทู้ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “Keyword” ของเราเช่นเมื่อเราต้องการค้นหารูปภาพเกี่ยวกับคำว่า “บ้าน” ก็ะเจอรูปภาพใน Image ของ Google ว่าบ้าน ไม่ก้จะพบกับ Link ของ Blog หรือกระทู้ที่เกี่ยวกับ Keyword เช่นกัน
เจ้า Digital Asset เหล่านี้มักจะมาปรากฏบนหน้าผลลัพธ์การค้นหา ซึ่งก็คือ Result อย่างหนึ่งนั่นเอง แต่เดิมนั้นผลลัพธ์บน Google จะมีหลากหลายผลลัพธ์ทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ขึ้นมาปะปนกันแต่หลังจากที่ทาง Google ได้เปลี่ยนอัลกอริทึม (Algorithm) ใหม่ให้ผลลัพธ์แสดงผลเฉพาะเว็บไซต์ที่ตรงกับ Keyword คำสำคัญด้วยคะแนนของ Content หรือเนื้อหาที่ครบถ้วนและตรงตามความหมายในเชิง Semantic Website ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีที่เราจะไม่เจอเว็บไซต์ขยะแต่ข้อเสียก็คือ Negative Result เพราะว่า Google จับเนื้อหาในแง่ของข้อมูลที่ตรงและครบถ้วนแต่ไม่ได้วิเคราะห์การแสดงผลในเชิงของ Sentiment หรืออารมณ์ของเนื้อหาเหล่านั้นทำให้เกิดเป็นข้อเสียในเชิงพาดพิงปรากฏขึ้นมากมาย
การใช้กระบวนการ Optimization มาใช้ปรับกับ Digital Asset เพื่อให้ติดผลลัพธ์บน Google จึงเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่สามารถนำมาแก้ปัญหา Negative Result ได้
เว็บไซต์เพียง 1เว็บไซต์ จะมีภาพประกอบไฟล์วิดีโอจาก YouTube มาช่วยในการค้นหาให้พบและจับข้อมูลไปลงยัง Index ของ Google ซึ่งในปัจจุบันนั้นนอกจากเอา Social Media มาทำการ Optimization ให้เกิด Traffic และมีการปรับ Tag ของรูปภาพบนเว็บไซต์ไปจนถึง YouTube ตอนนี้สามารถนำ Digital Asset ตัวอื่นมาช่วยเหลือและทาง Google ก็ให้คะแนนสำหรับเก็บ Index ให้ด้วยอย่าง Document บน Google Docs, White Paper หรือเอกสารสำหรับให้ข้อมูลของสินค้าและบริการอย่างScribd, ไฟล์พรี-เซ็นเทชั่นสำหรับนำเสนอโครงงานเช่นSlideShareมาช่วยเหลือในการค้นหาผ่านเว็บไซต์ได้เช่นกัน
แน่นอนว่าการทำDigital Asset Optimization นั้นยังครอบคลุมไปถึงเรื่องของแบรนด์ของ SMEs ที่เล่นบน Location ให้มาเป็น Location Search ได้อีกด้วยเช่นการใช้ Google Map, Google+ Local มาทำให้เกิดผลลัพธ์การค้นหาของธุรกิจคุณให้มาปรากฏบนหน้าเว็บไซต์
Digital Asset Optimization ช่วยแก้ปัญหาNegative Result ได้ยังไง?
ผลลัพธ์ของ Negative Result ที่ไม่สามารถลบออกจากระบบได้และเป็นปัญหาเก่าแก่แต่โบร่ำโบราณที่ทาง Google ก็ยังไปจับ Index มาปรากฏให้ตอกย้ำช้ำใจหรือโดนคู่แข่งเอาเว็บไซต์ที่เป็น Negative Result เหล่านั้นมาใช้โจมตีเราจนภาพลักษณ์ของเราไม่เหลือความน่าเชื่อใจใน Google เลย
กลยุทธ์ที่จะเข้ามาแก้ปัญหานี้ได้คือวิธีการดังนี้
ปรับการค้นหาของูปภาพ (Image) ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของเรา
รูปภาพที่เราใช้ทำโครงการผ่านพรีเซ็นเทชั่นหรือ Power Point คุณรู้หรือไม่ว่าร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์นักการตลาดก็เข้าไปค้นหาจาก Google Imageนั่นแหละครับปรับการค้นหาเป็นรูปภาพแล้วก็เอามาใช้คราวนี้ถ้าหากว่าคุณต้องการให้ผลลัพธ์การค้นหาตราสินค้าโลโก้แบรนด์ของคุณมาปรากฏที่หน้าแรกของผลลัพธ์เหมือนตัวอย่างข้างล่าง
เป็นการเพิ่มศักยภาพของแบรนด์สินค้าและบริการของเราให้ดูน่าเชื่อถือลองคิดดูว่าถ้าคนต้องการค้นหาคำสำคัญหรือ Keyword ว่า “บ้านเดี่ยว”แล้วพบภาพประกอบของโครงการบ้านเดี่ยวแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมากกว่าคนอื่น ความน่าเชื่อถือก็ในแบรนด์ของโครงการบ้านเดี่ยวโครงการนั้นก็จะดูน่าเชื่อถือขึ้นมาหรือถ้าหากว่าคุณค้นหาคำว่า “Apple” ถ้าไม่เจอรูปผลไม้ก็ต้องเจอภาพของ iPhone, iPadหรือ Steve Job, Tim Cook ปรากฏขึ้นมาเกิดเป็น Brand Perception และ Brand Awareness ให้แก่ผู้บริโภคที่ซึมซับโปรดักส์ไปโดยปริยาย
กลวิธีในการ Optimization รูปภาพทั้งหลายนั้นสามารถเริ่มทำได้จากการเพิ่ม Tag ที่เรียกว่า alt ของรูปภาพบน Blog หรือเว็บไซต์ของคุณให้เป็นคำอธิบายภาพนั้นๆว่าสื่อถึงอะไร จะมีโอกาสทำให้ภาพที่คุณทำไว้ปรากฏบนผลลัพธ์การค้นหาได้มากกว่าหลายเท่า นอกจากภาพบนเว็บไซต์ของคุณแล้วเว็บไซต์พวกฝากรูปถ่ายอย่าง Picasa, Pinterest หรือ Instagram บนมือถือก็สามารถถูกเก็บลงบนเว็บไซต์และทาง Google ก็มาจับลง Index ได้เช่นกันเครื่องมือช่วยเหลือมากมายเหล่านี้ใช้ให้คุ้มครับ
ปรับการค้นหาของ YouTube หรือ Video
อันที่จริงผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับการทำYouTube Optimization ไปบ้างแล้วว่า Video บน YouTube นั้นต้องมีคำอธิบายของวิดีโอที่ชัดเจนและควรมีคำสำคัญ Keyword แทรกในเนื้อหาไปจนถึงการทำCall To Action ของวิดีโอที่ปรากฏนำทางให้คนคลิกเพื่อดูต่อหรือเข้าไปที่เว็บไซต์ แนวทางในการใช้ Digital Asset Optimization นั้นวิดีโอสามารถช่วยเหลือในแง่ของ Negative Result ที่เป็นวิดีโอด้วยกันหากคุณพบ Negative Resultที่โจมตีแบรนด์ของคุณ คุณจำเป็นต้องหาวิดีโอที่น่าจะเกี่ยวข้องกับคำสำคัญที่จะแสดงผลลัพธ์การค้นหาที่ไม่น่าพึงพอใจนี้มาช่วย
โดยการปรับแต่งผ่านYouTube หรืออาจจะเอาMthai, Vemeoเว็บฯฝากไฟล์วิดีโอเข้ามาช่วยเหลือระยะเวลาในการดำเนินการหลังจากฝากไฟล์วิดีโอและทำการปรับแต่งเนื้อหาของวิดีโอไปแล้วให้ทำการ Shared ผ่าน Social Media ให้เกิด Traffic ให้มากที่สุดผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 4-10 วัน
ปรับการค้นหาของ Map หรือ Location
ผลลัพธ์อีกแบบของ Google ที่ยอดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตนิยมค้นหาผ่านสมาร์ทโฟนมากที่สุดคือสถานที่แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยไปค้นหาผ่าน Google Mapอาจจะเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนคนส่วนใหญ่ก็เลยค้นหาไปเลยดื้อๆว่า “ชื่อบริษัทแผนที่” หรือ “ชื่อสถานที่ถนน” หรือหลากหลายวิธีที่แต่ละคนจะถนัดผลลัพธ์ที่จะเจอส่วนมากก็ถือ Result ที่เป็นผลลัพธ์ของเว็บไซต์ที่เป็นหน้า Contact Usและรองลงมาก็คือ Google Place ที่ดึงมาจาก Google+ Local
ขั้นตอนนี้อาจจะยุ่งยากเล็กน้อยการจะให้เกิดผลลัพธ์ของแผนที่ที่ใช้งานได้นั้นคุณจะต้องทำการ Verify เบอร์โทรศัพท์กับทาง Google Place เล็กน้อยและต้องคอยให้ทาง Google โทรกลับมาสอบถามว่าคุณคือเจ้าของเบอร์และสถานที่จริงหรือไม่แล้วถึงจะติด Index บนผลลัพธ์การค้นหาแต่เชื่อเถอะว่าถ้าพร้อมจะผ่านขั้นตอนยุ่งยากนี้ไปได้แล้วล่ะก็ภาพลักษณ์ของแบรนด์คุณจะดูดีขึ้นมาทันตาเห็นบน Google ทันทีครับ
เพิ่มผลลัพธ์ที่ดีจาก Blog ของเรา และ Blog ของเพื่อนๆ เรา
การใช้ Copy Writer หรือ Blogger มาช่วยเขียนบทความที่เป็นมุมมองในแง่ดีของคุณถือว่าเป็นการทำกลยุทธ์ Content Marketing และเพิ่ม InboundLink Traffic ได้ดีอีกวิธีผลลัพธ์ที่คุณเขียนขึ้นและเพื่อนของคุณเขียนขึ้นเสร็จแล้วนั้นคุณอาจจะต้องเจียด Budget หรืองบประมาณเล็กน้อยไปทำการ Seeding ให้เกิด Link ไปยัง Blog เหล่านี้เพราะ Blog เหล่านี้ถือว่าเป็น Asset หนึ่งที่ช่วยเร่งและดันผลลัพธ์ให้ดีขึ้นในบางครั้งอาจจะต้องใช้ PPC จากAdwordsมาช่วยเหลือในการปั่น Traffic ของ Blog ที่เป็น Asset เหล่านี้ให้ติดอันดับมากขึ้นนอกจากจะทำการ Optimized ตัว Blog หรือเว็บฯของคุณแล้วต้องเพิ่มงบในการ Optimized กับ Blog เหล่านี้เพิ่มขึ้นมาด้วย
Slide Share และ White Paper
เอกสารที่ให้ข้อมูลรายละเอียดของสินค้าและโปรดักส์ต่างของคุณไปจนถึงไฟล์งานนำเสนอที่ปรากฏบนScribdหรือ Slide Share นั้นก็กลายเป็น Asset ที่มีคนค้นหาจาก Google ได้บ่อยเช่นกันโดยเฉพาะไฟล์นามสกุล PDF, DOC และ PPT จึงทำให้กลายเป็น Digital Assetอีกกลุ่มที่น่าลองจับมาเพิ่มTraffic และปรับ Search Result ให้ดูดีต่อ ภาพลัษณ์ของแบรนด์ศาสตร์ Inbound Marketing ของ Inbound Marketing University นั้นยกให้การทำ Document และ Slide Share เป็น Digital Asset ที่ทรงคุณค่าในแง่การค้นหาและสร้าง Value ให้กับแบรนด์ได้ดีที่สุดในเชิง B2B
จัดการ Digital Asset ของคุณให้บ่อยเท่าที่จะทำได้
หลังจากที่ได้ปรับแต่งหรือทำการเพิ่ม Digital Asset ของคุณไปไว้บนอินเทอร์เน็ตแล้วคุณจะต้องทำการปรับแต่งไฟล์เหล่านี้สร้าง Trafficไปยัง Asset เหล่านี้ประหนึ่งเหมือนกับว่ามันเป็นเว็บไซต์หรือ Blog ของคุณพูดง่ายๆก็คือทำSearch Engine Optimization (SEO) ให้กับ Digital Asset เหล่านี้เลยครับ เพื่อผลลัพธ์ของ Digital Asset เหล่านี้มีแนวโน้มที่ดีและพบเห็นบ่อยขึ้น Google จะให้คะแนน Index ของ Asset เหล่านี้เกิดเป็นอันดับการค้นหาที่ดีขึ้นในระยะเวลาที่ขึ้นตรงกับวิธีการ Optimization ถ้าหากว่าวิธีการทำDigital Asset Optimization ได้ผลแล้วอันดับของ Asset เหล่านี้ก็จะไปดัน Negative Result ให้หายไปจากผลลัพธ์การค้นหาหน้าแรกของ Google และยังสร้างภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ดังรูปภาพตัวอย่าง เท่านี้คุณก็มีชัยเหนือไปกว่าคู่แข่งของคุณในโลกอินเทอร์เน็ตแล้วครับ
หมายเหตุ :ในตอนนี้บริการ Digital Asset Management และ Digital Asset Optimization กำลังได้รับความนิยมในเรื่องของการปรับภาพลักษณ์แบรนด์และแก้ปัญหา Negative Result ในหลายๆแบรนด์และมีแนวโน้มที่หลายธุรกิจเริ่มเล็งเห็นข้อดีของการทำDigital AssetOptimization บ้างแล้ว
บทความนี้เคยเขียนตีพิมพ์ใน
นิตยสาร E commerce Magazine
(‘ปรับภาพลักษณ์การค้นหาแบรนด์ของคุณให้ดีด้วย Digital Asset Optimization‘)
ฉบับที่ 171 เดือน มีนาคม 2556
เยี่ยมกู๊ดดดดดดดดด