ปรับแต่งวีดีโอบนเว็บไซต์ YouTube ด้วย YouTube Optimization ถือว่าเป็นกลยุทธ์ Social Media Marketing ที่เปลี่ยนความบันเทิงให้เกิดมูลค่า
กลยุทธ์การทำการตลาดผ่านสื่อสังคม หรือ Social Media หนึ่งในผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้จากเสียงตอบรับของผู้บริโภค สมัยก่อนที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต วีดีโอ หรือโฆษณาโทรทัศน์นั้นวัดผล ROI ได้ลำบากเพราะหลังการที่ทำการ On Air หรือออกอากาศไปแล้วต้องใช้เวลาสักพักในการสอบถาม หรือรับฟังผ่านเพื่อน คนใกล้ชิด คนทั่วไปผ่านการสนทนาเกี่ยวกับโฆษณาบนวิดีโอ หรือโทรทัศน์ของเราว่าเป็นกระแส ถูกพูดถึงบ่อยแค่ไหน มีการนำมาล้อเลียน ล้อเล่นกันในชีวิตจริงจากเด็ก จนติดปากเป็นกระแสหรือไม่ ซ้ำร้ายตัวเลขของ ROI ที่ได้มานั้นมันวัดผลได้จริงหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ แต่ในปัจจุบันที่เริ่มมีการทำการตลาดผ่าน Digital Marketing และ Social Media Marketing แล้ว YouTube คือช่องทางในการทดสอบ และวัดผล ROI ได้ดีทั้งก่อนจะนำตัวโฆษณาไปออกอากาศ หรือ On Air บนโทรทัศน์ก็สามารถนำมาปล่อยลงบน YouTube ก่อนให้เป็นกระแส และรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้บริโภคก่อนได้ เผื่อจะได้มีโอกาสตัดต่อ หรือปรับแต่งวีดีโอ และเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพ
สำหรับเรื่องของ ROI นั้นถ้าทำการตลาด และวัดผลผ่าน YouTube นั้นสามารถวัดผลได้ง่ายกว่าการใช้สื่อแบบเดิมอย่างโทรทัศน์ ตัวเลข ส่วนใหญ่ก็คือการแชร์ การถูกแบ่งปันผ่าน Social Network อย่าง Facebook, Twitter หรือ Email ยิ่งถูกบอกต่อได้มากเท่าไรก็ยิ่งบอกถึงแนวโน้ม ROI และความสำเร็จของแคมเปญโฆษณาผ่าน YouTube ตัวนั้นที่ยกมาทั้งหมดคือข้อดีของการทำการตลาด และสร้างสรรคอนเท็นท์ หรือเนื้อหารายการบน YouTube แต่สุดท้ายการตลาดผ่าน Digital Marketing หรือ Social Media Marketing ก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน หากมีกลยุทธ์ และเครื่องมือในการผลิต และวัดผลครบถ้วนแล้ว แต่คอนเท็นท์ที่สร้างขึ้นไม่โดนใจผู้บริโภคก็เท่ากับว่าคุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นชกบนเวที
“No Content No Business”
ประโยคที่ยกมาข้างต้น คือความจริงบนโลกอินเทอร์เน็ต และสังคมออนไลน์ ทุกคนมีเครื่องมือวัดผล มีเครื่องมือในการผลิตคอนเท็นท์เท่าเทียมกัน จะแตกต่างและต่อสู้กันนั้นก็เพียงแค่แนวคิด หรือไอเดีย วีดีโอคอนเท็นท์ จึงกลายเป็นเรื่องที่ยากเล็กน้อยหากว่าปราศจากคอนเท็นท์ หรือเนื้อหาของรายการที่จะสร้างบน YouTube ว่าวิดีโอที่จะสร้างนั้นต้องการสื่อประเด็นของอะไร
ดังนั้นการสร้างสรรค์คอนเท็นท์รายการ หรือเนื้อหาของ YouTube นั้นอาจจะต้องใช้หลักการ และกลยุทธ์เล็กน้อยในการนำเสนอ และสอดแทรกโฆษณาสำหรับ บริการ หรือองค์กรของคุณที่ต้องการจะประชาสัมพันธ์ลงในวีดิโอ ซึ่งหลักการที่กำลังจะยกมาให้ศึกษากันต่อจากนี้นั้นเป็นหลักการพื้นฐานที่น่าจะสร้างมูลค่า และความน่าจดจำของแบรนด์สินค้า และโฆษณาประกอบแนวคิดในการกลั่นกรองเอาเนื้อหาที่ดีที่สุดมานำเสนอให้เกิดความน่าสนใจแก่ผู้บริโภค อีกทั้งการปรับแต่งวีดีโอของ YouTube ด้วยกลยุทธ์นี้ยังไปช่วยเสริมในเรื่องของอันดับในการค้นหาผ่านเครื่องมือค้นหายอดนิยมอย่าง Google อีกด้วย ซึ่งจะเกิดผลดีแก่ผู้บริโภคที่ต้องการค้นหาบริการ และศึกษาข้อมูลของสินค้าผ่านการนำเสนอที่แสนเรียบง่าย หรือโดนใจจนเกิดเป็นความประทับใจต่อบริการ และแบรนด์สินค้าของคุณทันที
YouTube Optimization ปรับแต่งวีดิโอค้นหาได้โดนใจ
15 วินาทีแรกนั้นสำคัญแค่ไหน
กลยุทธ์แรกนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วได้ผล เป้าหมายของการปรับแต่งวีดีโอในช่วง 15 วินาทีแรกนี้แหละที่จะสร้างความจดจำของแบรนด์สินค้าจากผู้บริโภคได้ดีที่สุดทีเดียว วิธีการที่จะทำให้ได้ผลนั้นอยู่บนพื้นฐาน และหลักการที่ง่ายที่สุดคือ ใช้เวลาที่สั้น สื่อสารอย่างกระชับ และยิงข้อความหรือ Message ที่โดนใจที่สุด ตรงประเด็นที่สุด และเกิดคำถามผลสมการชักชวนที่น่าติดตามที่เราต้องการนำเสนอให้ผู้บริโภค หรือผู้ชมได้ทราบเพื่อสร้าง Engagement หรือภาวะที่ผู้บริโภคจะยอมนั่งชมวีดีโอของเราไปตลอดจนจบ เพราะ 15 นาทีแรกนั้นเชิญชวนได้น่าสนใจ
ผลวิจัยจากสื่อหลายแขนงได้ออกมาวิเคราะห์ และเคาะออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้ชม หรือผู้บริโภคบน YouTube ส่วนใหญ่จะตัดสินใจชมวีดีโอต่อไปจนจบคลิปนั้น ไม่ว่าคลิปนั้นจะเป็นโฆษณา หรือรายการใดๆ ก็ตาม 10-15 วินาทีแรกคือสิ่งที่จะดึงพวกเขาให้ดูจนจบ และ 10-15 วินาทีแรกเช่นกันที่เป็นสิ่งที่จะทำให้พวกเขารำคาญจนปิดวีดิโอ หรือเปลี่ยนไปดูคลิปอื่นแทน กับคำถามที่ว่า “นี่เรากำลังดูอะไรอยู่เนี่ย?” อารมณ์แบบนี้น่าจะเคยเกิดขึ้นกับผู้อ่านหลายคนที่เข้าไปรับชมวีดีโอจาก YouTube ในช่วง 15 วินาทีแรกที่ต้องนำเสนอก่อนจะทำการเผยแพร่คลิปวีดีโอรายการ หรือโฆษณาของเราขึ้นไปบน YouTube นั้น เราจำเป็นต้องแบ่งช่วงของ 15 วินาทีแรกนั้นออกเป็น 3 ส่วน นั่นคือ
- Capture Attention
- Brief Branding
- Keep Them Watching Continue
ใน 2 ขั้นตอนแรกของ 15 วินาทีนั้น ขอรวบยอดในส่วนของ Capture Attention และ Brief Branding ก่อนในช่วงแรกของการทำวีดีโอนั้นจำเป็นต้องมีการสร้างความผูกพันกับผู้รับชมก่อนโดย นำเสนอตัวพิธีกร หรือ ผู้ดำเนินรายการขึ้นมาแสดงความเป็นกันเอง หรือทักทาย เล่าเรื่องต่างๆ ก่อนจะเริ่มต้นเข้าสู่รายการโดยการ Brief Branding หรือ ชื่อรายการและโลโก้ผู้สนับสนุน จะเห็นว่าหลักการดังกล่าวเป็นวิธีการที่จะสร้าง Brand Engagement ต่อผู้บริโภคและรับชมได้ดีมาก และเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าช่วงต้นรายการของ 15 วินาทีแรกนั้น การทักทายพูดคุยต้องมาก่อน และแบรนด์ควรจะเป็นรอง เพราะไม่มีผู้บริโภคคนไหนอยากเห็นโลโก้หรือแบรนด์ยัดเยียดให้เห็นก่อนเข้าคอนเท็นท์ ซึ่งจะมีภาพลบว่าเป็นการโฆษณาแบบตั้งใจจนเกินไป การทักทายและพูดคุยอย่างเป็นกันเองน่าจะเป็นการเชิญชวน ให้น่าสนใจก่อนจะแทรกแบรนด์เล็กๆ เบาๆ ต่อท้ายให้เห็นระยะสั้นๆ ทำให้ผู้รับชม และผู้บริโภครู้สึกดีกว่า
เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนของการนำเสนอส่วนย่อย ของ 15 วินาทีแรกของวีดีโอ อย่าง Capture Attention และ Brief Branding แล้วระยะเวลาที่เหลือที่ไม่มากไม่น้อย ผู้จัดทำวีดีโอควรสอดใส่ ลำดับ Sequence ของเนื้อหา หรือคอนเท็นท์ที่จะนำเสนอให้ผู้ชมได้รับชม นั้นออกมาเป็นตัวอย่างที่ผู้ชมจะได้รับชม แบบย่อๆ หรือเปรียบได้กับสารบัญของหนังสือภายในเวลาที่จำกัด และควรมีตัวอักษรหรือข้อความใกล้เคียงกับ Subtitle มากำกับว่าแต่ละช่วงนั้นจะได้พบกับอะไรที่เป็น Highlight ของวีดีโอที่ทำขึ้นนี้
Call To Action หมัดฮุคกระตุ้นการมีส่วนร่วม
หลังจากจัดการแบ่งวีดีโอออกเป็น 3 ส่วนในช่วง 15 วินาทีแรก ให้ผู้ชมรู้สึกอยากรับชมไปจนจบเรื่องเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็คือการปล่อยลีลาให้ผู้ชมอยากมีส่วนร่วม ในที่นี้คำว่า “มีส่วนร่วม” สำหรับผู้เขียนจะยกตัวอย่างนั้นอาจจะหมายถึงการให้ผู้รับชม อยากจะแสดงความเห็น อยากจะสมัครใช้บริการที่เรานำเสนอ หรืออยากจะแชร์หรือบอกต่อบนเครือข่ายสังคมออนไลน์
ฟังก์ชันการใส่ ลิงค์เชื่อมโยงของ YouTube สามารถช่วยเหลือ นักการตลาดที่นำเสนอคอนเท็นท์รูปแบบดิจิตอล หรือวีดีโอได้ดีที่สุด ในหลายๆ แคมเปญที่ทำการตลาดผ่านวีดีโอ YouTube ตัวอย่างที่เห็นบ่อยที่สุดคือการแนะนำให้กด Subscribe เป็นผู้ชมประจำ ซึ่งผู้ที่ Subscribe นั้นจะได้รับข่าวสารผ่านอีเมลเวลาที่มีการอัพเด็ต คลิปที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดมีมากมายหลายคลิป แต่ที่เห็นชัดมากจะเป็นคลิปรายการยอดนิยมอย่าง Ray William Johnson หรือ Annoying Orange ที่พกมุขตลกขบขันมาให้เราชมกันซึ่งผู้เขียนก็ได้ทำการ Subscribe เป็นผู้ติดตามรายการเหล่านั้นเช่นกัน
ภาพประกอบข้างบนคือรายการของ Ray William Johnson ที่มักจะรวบรวมคลิปตลก ขำขัน ไปจนถึงคลิปตลกเจ็บตัวบน YouTube ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดมายำรวมกัน 3 คลิปให้เราชมทุกๆ วันอังคาร และพฤหัสบดี ของทุกสัปดาห์ ซึ่งจะมีการใช้ ลิงค์ที่มุมขวาล่างของคลิปวีดิโอให้เราได้ทำการ Subscribe เป็นกรณีศึกษาในการ Call To Action ที่ดีในการสร้างฐานแฟนคลับรายการ Ray William Johnson ที่เขาจัดทำขึ้น
สำหรับกรณีของ Annoying Orange รายการเหน็บกัดสังคมผ่านเจ้าส้มจอมพล่ามน่ารำคาญที่ มักจะนำความตายมาสู่ผองเพื่อนผักผลไม้อื่นๆ ในครัวก็จะมีการใส่ลิงค์เพื่อ Subscribe รายการผ่านวีดิโอในช่วงตอนท้ายของรายการที่จัดทำมาดีมาก และยังมีช่องทางในการแชร์และแบ่งปันคลิปใหม่ล่าสุดแต่ละตอนผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Twitter และ Google+ ได้อีกด้วย
Thumbnail Optimization ปรับแต่งภาพพรีวิวให้ดูดี และดึงดูด
ภาพพรีวิวที่ปรากฏเวลาที่เราค้นหาบนเว็บไซต์ YouTube นั้นก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการกดเข้าชมวีดีโอ ซึ่งจริงๆ แล้วหากใช้บัญชีผู้ใช้ทั่วไป ภาพ Thumbnail ของวีดีโอจะถูกสุ่มออกมาให้เลือก ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องใช้จังหวะเข้าช่วย แต่ถ้าหากมีบัญชีผู้ใช้ที่พิเศษกว่า สามารถใช้สิทธิในการเข้าไปปรับแต่ง Thumbnail ของวีดีโอเราได้ด้วยภาพที่เราตกแต่งขึ้น และอัพโหลดขึ้นไป การปรับแต่งภาพ Thumbnail ให้ดูดีนั้น ผลวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคได้เผยแล้วว่าภาพ thumbnail ที่สวยงามดูมีเรื่องราว และนำสายตามักจะเพิ่มอัตราการคลิกเข้าไปรับชมมากกว่าภาพที่ถูกจับมาแบบสุ่มเป็น Thumbnail เกินกว่าครึ่ง
Channel สวยได้เปรียบ
กลยุทธ์สุดท้ายในการทำ YouTube Optimization ในเบื้องต้นนี้คงไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าการปรับแต่ง Channel ของแบรนด์ให้ออกมาดูดีมีการเล่าเรื่อง มีการนำสายตาดูไม่เป็นทางการเกินไป มีข้อความแนะนำและเป็นกันเองเพื่อสร้าง Engagement ต่อผู้ที่เข้ามาชม เมื่อสร้าง Engagement ได้แล้วก็มีเมนู หรือข้อความในการ Call To Action หรือเชิญชวนให้ทำการ Subscribe ช่อง Channels ของเรา จัดการ Playlist วีดีโอให้ดูดีก็เป็นอันจบครับ
สุดท้ายไม่ว่าจะมีขั้นตอนวิธีการ หรือกลยุทธ์ในการปรับแต่ง YouTube Channel และวีดีโอของคุณให้ทรงพลัง และตามหลักการตลาด และจิตวิทยามากมายแค่ไหน แต่ยังไงก็ต้องกลับไปที่พื้นฐานเดิมอยู่ดีที่ว่า เนื้อหา และรายการวีดีโอ และโฆษณาของคุณสร้างสรรค์ หรือแปลกใหม่หรือยัง หากว่าคอนเท็นท์วีดีโอของคุณ ยังไม่มีอะไรที่แปลกใหม่กลยุทธ์ที่มาช่วยเสริมเติมแต่งวีดีโอของคุณที่ยกมานี้ อาจจะช่วยคุณได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ยังไงเสียอย่าลืมนะครับว่า
“No content, No Business”