ระหว่างปลายปี 2008 จนถึงปี 2010 ตัวผู้เขียนเองนั้น พอจะได้รับข่าวสารจาก เว็บไซต์ Bloomberg Businessweek และ นิตยสาร BusinessWeek Thailand เกี่ยวกับความตกต่ำของ Silicon Valley (ซิลิคอน วัลเลย์) และ ตัวเลขที่ยืนยันความตกต่ำ จากการล่มสลายของวิกฤติฟองสบู่ ซึ่งวิกฤติดังกล่าวมีผลกระทบ กับ ระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ประเมินความเสียหายนับ ล้านล้าน กว่าบาท ไม่เว้นแม้แต่ ตลาดเทคโนโลยี ซึ่งเป็นผลให้เทคโนโลยีเว็บไซต์ ผู้ประกอบการธุรกิจบริการ บน อินเตอร์เน็ทจำเป็นต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจ เพื่อ ความอยู่รอด บางองค์กรที่ไม่พร้อม หรือ ไม่เปลี่ยนรูปแบบ ให้คล้อยตามวาระของวิกฤติการณ์ ต่างถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือ ปิดตัวไป เพราะไม่อาจทนต่อแรงเสียดทานของวิกฤติดังกล่าวได้
ในวันนั้นทุกคนต่างทราบดีว่า Silicon Valley เป็นเหมือน แหล่งศูนย์กลางของ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ระดับโลก เปรียบเสมือน โรงงานผลิต และ จัดสรร ทรัพยากร ของเหล่าองค์กรไอทีชั้นแนวหน้า แม้ว่า Silicon Valley จะยิ่งใหญ่ซักเพียงใด เมื่อถึงวาระที่ต้องเผชิญ แม้จะอยู่ในชั้นแนวหน้าก็ไม่อาจที่จะเลี่ยงต่อ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในครั้งนั้นไปได้ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2008 มาถึงไตรมาส 2 ของปี 2009 ตำแหน่งงาน ที่มีอัตราขึ้นลงเสมอต้นเสมอปลายนั้นใน Silicon Valley นั้น ได้ลดลงไปกว่า 90,000 ตำแหน่ง เป็นเหตุให้เกิดอัตราการ ว่างงานใน Silicon Valley สูงกว่าอัตราการว่างงานโดยเฉลี่ยของประเทศสหรัฐฯ ถือว่าเป็น ตำเลขสถิติที่ ตกต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งถือว่าเป็นยุคเฟื่องฟู สำหรับ องค์กรด้านเทคโนโลยี และ ความต้องการในสายงานของกลุ่มคนไอที ที่ตอนนั้นแทบไม่มีอัตราการตกงาน หรือ ว่างงาน หลังฟองสบู่ดอตคอมแตก เมื่อเกิดอัตราการว่างงานกว่า 90,000 ตำแหน่งในปี 2009 เสมือนเป็นจุดบ่งชี้ต่อแนวโน้มความเสื่อมถอย และ ตอกย้ำประเด็นดังกล่าวของ Silicon Valley เข้าไปอีก แต่ในวันนี้สิ่งที่หลายคน คาดการณ์ไว้อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น
ในปีที่ผ่านมาแม้จะทราบว่าตัวเลขในการลงทุน โครงงาน และ ธุรกิจบริการ ของ Silicon Valley ตกต่ำลงมากกว่า 80% แต่ในปี 2010 นี้ ตัวเลขดังกล่าวกลับมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าปีที่ผ่านมา Silicon Valley จะพบวิกฤติการตกงานของบุคคลากรหลายตำแหน่งเนื่องจากองค์กรที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีหลายแหล่ง ปลดพนักงานเพื่อลดต้นทุนสำหรับปรับขนาดองค์กร ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วประเทศ อาจจะเป็นเพราะการปรับเปลี่ยนรูปแบบของ องค์กรที่รับพัฒนา จากด้านการบริการที่เน้นในส่วนของเทคโนโลยีเป็นหลัก ก็ได้เพิ่มรูปแบบไลฟ์สไตล์อื่น ที่นอกเหนือจาก เพล็ทฟอร์มเทคโนโลยีและนวัตกรรม แต่ภายใน ไลฟ์สไตล์เหล่านั้นก็ยังมีส่วนของพื้นฐานของเทคโนโลยีอยู่เป็นส่วนย่อย เพียงไม่ได้เจาะจงในเชิงลึกมาก หลายธุรกิจที่ต้องการปรับเปลี่ยนใช้ระบบสารสนเทศ มาผลักดัน บริการของตน ยังคงเดินทางมาที่ Silicon Valley ที่สำคัญแม้จะต้องการเปลี่ยนรูปแบบ ธุรกิจเดิมมาสู่ระบบที่มี ไอทีขับเคลื่อน แล้ว ยังสามารถ ตกลงในด้าน แนวคิดเชิงการตลาดออนไลน์ และ กลยุทธ์ สำหรับการสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ผ่านแนวคิดการนำเสนอ ธุรกิจ บน ไลฟ์สไตล์ใหม่ ที่ Silicon Valley เช่นกัน รูปแบบการตลาดออนไลน์ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Twitter ไปจนถึง Group on ที่ล่าสุดได้ปฏิเสธข้อตกลงกับ Google ไป เพราะไม่ว่ายังไง Silicon Valley ก็ยังถือว่าเป็นแหล่งรวมบุคลากรที่ทรงคุณค่าแก่วงการ ไอที และ เทคโนโลยี ที่ล้วนแล้วจะประสบความสำเร็จทั้งหมด ตั้งแต่ Bill Gates, Steve Jobs, Mark Zuckerberg และ เหล่าทีมงานที่ตำนานอย่าง Google ซึ่งถ้ามองดูแล้ว นอกจาก Silicon Valley จะเป็นเหมือนแหล่งรวมการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมคคลากรชั้นแนวหน้า และ ที่สำคัญ อาจจะเป็นทั้งศูนย์รวมบริการ และ แนวคิด รูปแบบบริการที่จะประยุกต์ธุรกิจใหม่
ศูนย์วิจัย และ มหาวิทยาลัย ชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก ในทุกวันนี้ ยังคงผลักดัน นักศึกษา นักวิจัย มากมาย โดยยังคงส่งพวกคนเหล่านี้มาที่ Silicon Valley อยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีอัตราที่ลดลงไปบ้างในปี 2009 แต่เมื่อพบตัวเลขประมาณการในปี 2010 ของเงินทุน ที่ Silicon Valley ได้รับแล้ว อาจจะเป็นสิ่งที่หนึ่งที่ คาดการณ์ได้ว่า ศูนย์วิจัย และ มหาวิทยาลัย หลายแห่งยังคงมีเงินทุนที่พร้อมจะปลุกชีพ และ ผลักดันให้ Silicon Valley ได้ลุกขึ้นฝ่าวิกฤติ และ เป็นการผลักดันให้เหล่านักศึกษาระดับ หัวกระทิ ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่งรองรับอยู่เหล่านั้น ได้มี สถานที่ และ ช่องทางที่จะเข้าไปสู่ประตูด่านแรก เพื่อ พัฒนานวัตกรรม หรือ แนวคิด วิธีการ ในการสร้างรูปแบบธุรกิจ รูปแบบใหม่ ให้น่าสนใจ ดังเช่น Group on และ Cloud Computing , Visualization Center ที่กำลังดำเนินการวิจัย อย่างล้นหลาม และ ได้รับความสำคัญ ในระดับต้น ของหลายองค์กรใน Silicon Valley
วิธีการที่น่าสนใจพอจะดึงดูด และ เป็นแนวหน้าในการประกอบ เศรษฐกิจ อย่าง Group on และ Open Table เป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ถ้าให้ประเมินดูแล้ว เหมือนกับว่า Silicon Valley ได้รับ เงินทุน และ ผลกำไรจากการเสนอข้อตกลงกับ บริการรูปแบบใหม่ จากหลายองค์กรทั่วโลก และ ยังมีเงินทุน ที่ได้จากศูนย์วิจัย และ มหาวิทยาลัย ที่พร้อมจะสนับสนุน ให้นักศึกษา หรือ นักวิจัย ได้แสดงผลงาน ในการพัฒนาโครงงาน ด้านนวัตกรรม และ ธุรกิจ เพื่อให้องค์กรหลายองค์กรใน Silicon Valley ได้ตัดสินใจที่จะรับบุคคลเหล่านั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และ พัฒนาต่อยอด นวัตกรรม ดังกล่าวด้วยเงินทุนหมุนเวียนต่อไป ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ ทำให้ Silicon Valley ยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างสวยงาม
เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการ เกื้อหนุน กันระหว่าง ผู้ประกอบการทั่วโลก ศูนย์วิจัย และ มหาวิทยาลัยชั้นนำด้านไอที ที่มีต่อองค์กรหลายองค์กรภายใน Silicon Valley เองซึ่งในตอนปลายปี 2010 นี้เอง การฟื้นตัวจากความตกต่ำของ Silicon Valley จากไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา ชี้ให้เห็นว่า Silicon Valley ยังคงมีรูปแบบ นวัตกรรม และ บริการด้านธุรกิจ ครบวงจร แบบใหม่ที่ยังคงมีอะไร ให้ลุ้นต่อได้อีกยาวนาน ก็คงเปรียบเสมือนการฉุดดึงมือให้หลุดพ้นจากน้ำ เพียง ที่คนทำการฉุดมือของ Silicon Valley ขึ้นมานั้นสามารถมองออกว่าในอนาคตนั้น ตนเองนี่แหละจะเป็นคนที่จมน้ำเป็นรายต่อไป ถ้าไม่มีใครช่วย Silicon Valley
